สัญญาณเตือนที่บอกว่าคุณเป็น "โรคบ้างาน"
สัญญาณเตือนอาการ "Karochi Syndrome"
ต้องบอกเลยว่าอาการ "Karochi Syndrome" ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับคนทำงานในยุคปัจจุบัน ซึ่งสัญญาณเตือนของ "โรคบ้างาน" หรือ "โรคคาโรชิ" (Karochi Syndrome) นั้น อาการทั่วๆ ไปของคนที่ทำงานหนัก ก็คือ มักจะปวดเมื่อยตามตัว ปวดหลัง ปวดท้ายทอย ปวดไหล่ ปวดสายตา คล้ายกับโรคออฟฟิศซินโดรม แต่คนที่ทำงานหนักมากๆ จนถึงขั้นเรียกว่า "บ้างาน" นั้น อาจมีภาวะผิดปกติทางอารมณ์เกิดขึ้นด้วย เช่น โมโหเพื่อนร่วมงาน ชอบชักสีหน้า ฉุนเฉียว มองอะไรก็ขวางหูขวางตาไปหมด การพูดคุยไม่เหมือนเดิม และจะให้ความสนใจเฉพาะเรื่องงานเท่านั้น ไม่ค่อยสนใจคนอื่น ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้นอกจากจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานแล้ว ยังอาจจะกระทบต่อความสัมพันธ์กับคนในครอบครัวด้วย
"โรคบ้างาน" หรือ "โรคคาโรชิ" (Karochi Syndrome) ถูกพบขึ้นที่ญี่ปุ่นในปี ค.ศ.1969 มีต้นเหตุมาจากการเสียชีวิตของหนุ่มญี่ปุ่น อายุ 29 ปี ในแผนกจัดส่งของบริษัท ซึ่งสาเหตุนั้นมีความเกี่ยวข้องกับภาวะทางหลอดเลือดสมอง แต่ในช่วงเวลานั้นยังไม่มีการใช้คำว่าคาโรชิในการบัญญัติชื่อโรค และโดยพื้นฐานของคนญี่ปุ่นนั้นได้ถูกปลูกฝังเรื่องความมุ่งมั่นตั้งใจ ความภักดีต่อองค์กรที่ตัวเองทำงานอยู่ รวมไปถึงเรื่องของความรับผิดชอบที่สูงมาก ค่านิยมเหล่านี้ทำให้คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ทำงานหามรุ่งหามค่ำ จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะทำให้ "โรคบ้างาน" กลายเป็นโรคยอดฮิตของชายชาวญี่ปุ่น ซึ่งเดิมทีโรคบ้างานถูกพบแค่ในหมู่ชายชาวญี่ปุ่น แต่ปัจจุบันผู้คนทั่วโลกต่างก็ต้องเผชิญกับความเครียดจากการทำงาน ทำให้โรคบ้างานได้แพร่กระจายไปทั่วทุกมุมโลกไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทยด้วย
อาการของ "โรคบ้างาน"
สัญญาณเตือนที่บ่งบอกว่าคุณเป็น "โรคบ้างาน" อาการเริ่มต้นที่สังเกตได้ก็จะมีอาการปวดหัว ปวดหลัง ปวดไหล่ ปวดท้ายทอย สายตาพร่ามัว ปวดกล้ามเนื้อตา ซึ่งจะส่งผลเสียต่อร่างกายจนกลายเป็นสาเหตุของโรคต่างๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ โรคกระเพาะอาหาร และโรคร้ายแรงอื่นได้
อันตรายของโรคบ้างาน
หากไม่ตระหนักถึงอันตรายและดูแลรักษาให้ดีแล้วล่ะก็ อาจจะก่อให้เกิดโรคทางร่างกายตามมา อาทิ เช่น เบาหวาน ความดัน เก๊าท์ ไตวาย อัมพาต ถุงลมโป่งพอง ซึ่งโรคเหล่านี้เกิดมาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่มีเวลาออกกำลังกายเพราะมีภาระหน้าที่ต้องทำงาน ยิ่งไปกว่านั้นอาจจะมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศทั้งหญิงและชาย โดยอาจเกิดขึ้นจากความเจ็บปวดของเส้นประสาททำให้ลดความรู้สึกลง หรือระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ และเกิดโรคประสาทอ่อน ซึ่งเป็นโรคที่มีสาเหตุได้จากหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเพราะได้รับการกระตุ้นทางด้านประสาท เช่น ใช้สมองมากเกินไป ไม่สบายใจ จิตใจไม่ปลอดโปร่ง หรือบางรายอาจมีผลเชื่อมโยงมาจากการเจ็บไข้ได้ป่วย กล่าวคือในระยะหลังฟื้นไข้เมื่อร่างกายอ่อนแอก็อาจเป็นเหตุให้การทำงานของสมองตื่นตัวตลอดเวลา หรือในทางตรงกันข้ามแทนที่สมองจะตื่นตัวก็อาจตกอยู่ในสภาพเก็บกดก็เป็นได้
วิธีป้องกันโรคบ้างาน
แนวทางการป้องกันรักษาโรคบ้างานสามารถทำได้เพียงแค่ปรับพฤติกรรมการทำงานใหม่ โดยปรับสัดส่วนของเวลาการทำงานกับเวลาพักผ่อนให้สมดุลกัน ควรมีการพักและผ่อนคลายบ้าง เพราะการนั่งจดจ่ออยู่นิ่งๆ เป็นเวลานานจะทำให้เกิดความเครียดสะสมได้ง่าย ซึ่งวิธีการผ่อนคลาย ได้แก่ หลับตา หายใจเข้า-ออกลึกๆ ซึ่งในระหว่างเวลาทำงาน 1 ชั่วโมง ควรใช้สมอง 45 นาทีแล้วพัก 10-15 นาที และควรทำอย่างนี้ทุกๆ ชั่วโมง การปรับเวลาเหล่านี้ควรเป็นไปตามสัดส่วนที่ธรรมชาติร่างกายต้องการ
ขอบคุณข้อมูลจาก UNLOCKMEN
-
9 เทคนิควิธีพูดเพื่อเอาชนะใจผู้ฟัง
คงไม่มีใครที่จะมีวิธีพูดให้ชนะใจผู้ฟังได้เก่งมาตั้งแต่เกิดหรอก ทุกคนต่างก็ต้องฝึกฝนกว่าจะเชี่ยวชาญและสามารถพูดโน้มน้าวใจคนได้ก็ต้องใช้เวลานานพอสมควร ซึ่งมันก็ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนว่าจะขยันและมีความพยายามมากแค่ไหน
-
เช็คด่วน! ปวดหลังตรงไหน เป็นโรคอะไร? และมีอาการอย่างไรบ้าง?
ปวดหลังตรงไหน เป็นโรคอะไร? และมีอาการอย่างไรบ้าง? ถ้าให้อธิบายความหมายแบบง่ายๆ การปวดหลังก็คือ อาการปวดเมื่อย ตึง ร้าว หรือเจ็บที่หลัง สามารถเกิดขึ้นได้ตั้งแต่บริเวณคอลงไปจนถึงก้นและขา มีสาเหตุมาจากหลายๆ ปัจจัย
-
ความแตกต่างระหว่าง ผู้นำ VS ผู้นำที่มีภาวะผู้นำ?
ทุกองค์กรล้วนต้องการพนักงานที่จะพาองค์กรไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ซึ่งพฤติกรรมของพนักงานแต่ละคนก็มีความแตกต่างกันไป บางคนเป็นผู้นำ บางคนเป็นผู้นำที่มีภาวะผู้นำ แต่บางคนเป็นผู้ตาม ซึ่งทุกคนล้วนมีความสำคัญต่อองค์กร